ชวนมารู้จัก Endpoint Detection and Response (EDR) โปรแกรมรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ระดับองค์กร และมันดีกว่า Anti-Virus ทั่วไปอย่างไร

จากเหตุการณ์คอมพิวเตอร์ล่มทั่วโลกเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2024 ซึ่งสร้างผลกระทบต่อหลายธุรกิจ ทำให้หลายองค์กรต้องหยุดชะงัก เหตุการณ์นี้เกิดจากความผิดพลาดของโปรแกรม CrowdStrike ซึ่งเป็นโปรแกรมประเภท Endpoint Detection and Response (EDR) เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หลายคนกลับมาตั้งคำถามถึงระบบป้องกันภัยไซเบอร์ที่เราใช้งานอยู่ วันนี้ RIS ขอพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับโปรแกรมประเภท EDR และไขข้อสงสัยว่า เหตุใดองค์กรใหญ่ ๆ จึงเลือกใช้ EDR มากกว่า Anti-Virus แบบดั้งเดิม

Anti-Virus: เกราะป้องกันแบบดั้งเดิม
สำหรับโปรแกรม Anti-Virus ทั่วไป มีหลักการทำงานที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา คือการอัปเดตฐานข้อมูลไวรัสและมัลแวร์ที่รู้จัก เมื่อไฟล์ในเครื่องมีรูปแบบการทำงานหรือ Source Code ตรงกับฐานข้อมูล โปรแกรมจะทำการแจ้งเตือนและบล็อก, กักเก็บ (Quarantine) หรือลบไฟล์นั้นทิ้งไป เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสแพร่กระจาย
จุดแข็งของ Anti-Virus คือการป้องกันภัยคุกคามที่รู้จักได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีข้อจำกัดที่ชัดเจน หากเป็นไวรัสหรือมัลแวร์สายพันธุ์ใหม่ที่ยังไม่มีอยู่ในฐานข้อมูลของโปรแกรม ก็อาจหลุดรอดจากการตรวจจับได้ง่าย ทำให้คอมพิวเตอร์มีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามที่ซับซ้อนมากขึ้น

EDR: วิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อรับมือภัยคุกคามที่ไม่รู้จัก
เพื่ออุดช่องโหว่ดังกล่าว Endpoint Detection and Response (EDR) จึงถูกพัฒนาขึ้นมา โดย EDR จะทำงานในระดับที่ลึกกว่า Anti-Virus มาก
วิเคราะห์พฤติกรรม: EDR ไม่ได้ตรวจจับจากฐานข้อมูลหรือ Source Code เพียงอย่างเดียว แต่ใช้วิธีการวิเคราะห์พฤติกรรมที่เกิดขึ้นบนอุปกรณ์แบบ Real-Time หากพบการกระทำใดที่ผิดปกติหรือมีแนวโน้มจะสร้างความเสียหาย (แม้จะเป็นภัยคุกคามที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน) ก็จะสามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงที
ควบคุมอุปกรณ์: EDR มีสิทธิ์ในการควบคุมอุปกรณ์หรือระบบปฏิบัติการ (OS) เพื่อหยุดยั้งการกระทำที่อาจเป็นอันตรายได้ทันที ทำให้สามารถยับยั้งความเสียหายได้ก่อนที่จะลุกลาม
ด้วยจุดเด่นในการวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อระบุภัยคุกคามที่ไม่รู้จักและซับซ้อนนี้เอง ทำให้ EDR ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่บริษัทและองค์กรที่ต้องการยกระดับความปลอดภัยให้แข็งแกร่งขึ้น
ความท้าทายของ EDR: เมื่อความปลอดภัยมาพร้อมความเสี่ยง
แม้ EDR จะมีศักยภาพสูง แต่ก็ต้องมีการอัปเดตฐานข้อมูลและความฉลาดของโปรแกรมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งจุดนี้เองที่อาจนำมาซึ่งปัญหา ดังเช่นเหตุการณ์ Blue Screen of Dead ที่เกิดขึ้นเมื่อไฟล์อัปเดตไปรบกวนการทำงานของระบบปฏิบัติการ (OS) ทำให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงพลังอำนาจในการควบคุมระบบของ EDR

ปัจจัยสำคัญที่สุด มนุษย์ยังเป็นด่านหน้าของความปลอดภัยไซเบอร์
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าเทคโนโลยีป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์จะก้าวหน้าไปมากเพียงใด มนุษย์หรือผู้ใช้งานก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด หากผู้ใช้งานตั้งค่าผิดพลาด หรือใช้งานอย่างไม่ระมัดระวังเพียงพอ ก็ยังสามารถตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ได้อยู่ดี การมีโปรแกรมป้องกันที่ดีจึงไม่ได้แปลว่าเราจะปลอดภัย 100%
เราในฐานะผู้ใช้งานจึงควรมีความระมัดระวัง และไม่ประมาทอยู่เสมอ